โดจิน Y inazuma eleven: เอ็นโด x คาเซมารุ 2 (จบ)
เมื่อเขารับรู้แล้วว่าความรูสึกของเพื่อนที่มีต่อเขานั้นเป็นเช่นไร เขาจะทำอย่างไรต่อไป เส้นทางของความเป็นเพื่อนจะจบลงหรือไม่
ผู้เข้าชมรวม
4,195
ผู้เข้าชมเดือนนี้
25
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ดำเนินเรื่องโดย : เอ็นโด
ในวันนั้นที่ผมตัดสินใจชวนคาเซมารุมาเข้าทีมเพราะเห็นว่าความสามารถของเขาน่าจะเป็นประโยชน์ต่อทีม ทำให้ทีมพัฒนาขึ้นไปได้ ในมุมมองของผมผมก็เห็นว่าเขาน่ารักดีเหมือนเด็กผู้หญิง เขามักจะทำตัวบ้าระห่ำจนผมหงุดหงิด อย่างตอนที่เราแข่งกับเทโคคุเขาพุ่งเข้ามารับบอลแทนผมเสียอย่างนั้น
ผมอยากจะสนิทกับเขา
อยากจะเล่นฟุตบอลกับเขา เป็นเพื่อนกันตลอดไป.....
ความหวานจากช็อคโกแล็ตที่เริ่มละลายไปทั่วปากและคอ ผมยืนนิ่งอยู่นานกว่าจะปะติปะต่อเรื่องราวได้ คาเซมารุจูบเรา!? ทะทำไมล่ะ? ‘.....แล้ว.....คนที่ฉันชอบจะตอบรับฉันหรือปล่าวล่ะ?’ คำพูดของาเซมารุย้อนเข้ามาในความคิดของผม คนที่ชอบ?หรือว่าหมอนั้นชอบเรางั้นเหรอ? บ้าน่า......จะเป็นไปได้ยังไงกัน?
ผมยืนนิ่งจมปลักกับความคิดของตัวเองอยู่นานพอสมควร จนช็อคโกแล็ตในปากนั้นละลายลงคอไปจนหมด ผมเหลือบไปเห็นห่อช็อคโกแล็ตของเขาที่วางทิ้งไว้
ถ้านี่หมอนั้นชอบเราจริงๆ
วันนี้คงเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเขาเลยสินะ
เช้าวันถัดมาผมก็พบว่าคาเซมารุไม่มาโรงเรียน อะไรกัน......ไม่สบายงั้นเหรอ? หรือว่า...เป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้? งั้นก็แสดงว่าเป็นเรื่องจริงนะสิที่เขาบอกว่าชอบเรา จะว่าไปมันตั้งแต่เมื่อไรกัน? คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของผมจนผมไม่อาจจะคงสมาธิทำอะไรในห้องเรียนได้เลยตลอดช่วงเช้า แม้แต่พักเที่ยงแล้วความคิดของผมมันก็ยังไม่หยุดคิดเสียที
“อ๊าก!!” ผมร้องครางออกมาดังๆในระหว่างที่นั่งกินข้าวเที่ยงอยู่ แล้วตัดสินใจใช้มือซ้ายคว้ากล้องข้าวมือขวาถือตะเกียบโกยมื้อเที่ยงใส่ปากอย่างรวดเร็ว ทำไมไม่รู้เหมือนกัน ผมถึงได้รู้สึกจิตใจมันร้อนรุ่มขนาดนี้
“เป็นอะไรไปนะเอ็นโด?” โกเอ็นจิเอ่ยถาม ซึ่งผมไม่เห็นสีหน้าเขาตอนเขาลุกไปหรอกเพราะผมกำลังตั้งหน้าตั้งตากินมื้อทิ้งเพื่อสลัดความคิดวุ่นวายในหัวนี่ทิ้งไป
“อาการดูหงุดหงิดง่ายแบบนี้.....อกหักมารึไง?” คำพูดเดาสุ่มของคิโดทำเอาผมสำลัก จนต้องรีบขว้าถ้วยชาขึ้นมาดื่มล้างคอทันที “พะพูดอะไรน่ะคิโด ฉันไม่ได้อกหักซะหน่อยนะ!!” ผมรีบพูดแก้ตัวทันทีหลังจากดื่มชารวดเดียวหมดถ้วย
“....ก็แค่เดา รีบแก้ตัวแบบนั้นแสดงว่าจริงล่ะสิท่า?” คิโดยังคงถามเพื่อยืนยันความเข้าใจอีกครั้ง ดีนะที่คนอื่นเขาลุกออกไปแล้วเหลือผมกับคิโดนั่งอยู่แค่สองคนตรงโต๊ะเรียนที่ถูกลากมาชนกันเป็นโต๊ะกินข้าวรวมชั่วคราว
“ไม่จริงสักหน่อย ฉันไม่ได้อกหักนะ....ก็แค่มีเรื่องกลุ่มใจเมื่อวานนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ผมหลบตาลงต่ำมองมื้อเที่ยงในกล้องข้าวของตัวเอง แล้วทบทวนว่าจะกินต่อดีไหม หรือจะลองปรึกษาคิโดเรื่องของคาเซมารุดี หมอนั้นท่าทางดูน่าปรึกษาได้นะ ไม่ดีๆเกิดโดนล้อขึ้นมาล่ะอายเขาแย่เลย ก็มันผู้ชายกับผู้ชายนี่นา
“....มีอะไรก็ปรึกษาเพื่อน(กูรู)อย่างฉันได้นะ พอจะบอกกันได้หรือปล่าวล่ะเรื่องกลุ่มใจที่เมื่อวานที่ว่านั้น?” คิโดยังคงถามผมต่อเพื่อหาต้นต่อความหงุดหงิดของผม เอายังไงดีล่ะ มีโอกาสแล้วนิ ปรึกษาเลยดีไหมนะ....ใช่ๆ ลองปรึกษาแบบอ้อมๆโดยไม่ให้เขารู้ว่าเป็นใครสิ เอาตามนี้แหละ!!
“อือ....กะก็มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาบอกว่า....ชะชอบน่ะ” ผมใช้มือจากแขนที่ท้าวคางอยู่ปิดปากตัวเองไม่ให้สั่นในเวลาพูด เหลือบมองดูคิโดเล็กน้อยเขายังคงนั่งฟังนิ่งๆไม่ได้มองหน้าผม ก่อนจะพูดต่อ “ละแล้วเพื่อนคนนั้นก็สนิทกันมากด้วย นายว่าฉันควรจะทำยังไงดี?”
“ก็ไม่เห็นยากเลยนิ ถ้าไม่รังเกียจเขาก็คบกันไปเลยสิ” เขาหันกลับมาตอบผม เป็นคำตอบที่ทำให้ใบหน้าผมร้อนฉ่า “จะจะจะจะจะไปทำแบบนั้นได้ยังไงเล่า!! ก็เขานะเป็นผู้ชะ....อุ๊บ!!” ผมรีบเอามือกลับมาปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน หวา หวา แบบนี้ก็เท่ากับว่าขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ หวังว่าคิโดคงดูไม่ออกหรอกนะ ผมเหลือบมองเขาอีกครั้ง คราวนี้เขาหันทั้งตัวเข้ามาคุยกับผม
“หืม? ถ้ามันติดปัญหามากนักก็บอกปฎิเสธแบบสุภาพไปก็สินเรื่องแล้วนิ ถ้าไม่อยากให้ความเป็นเพื่อนต้องจบลงล่ะก็นะ” ผมชะงักกึก บอกปฏิเสธงั้นเหรอ? เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมผมถึงคิดไม่ได้กันนะ ในระหว่างนั้นสีหน้าของคาเซมารุก็ลอยเข้ามาในความคิด น่าสงสาร...แบบนั้นจะไปทำร้ายจิตใจหมอนั้นได้ยังไงกัน!! “ฉันก็แนะนำได้แค่นี้แหละนะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวนายเองแล้วล่ะ” คิโดลุกเดินมาตบบ่าผมเบาๆแล้วเก็บกล่องข้าวของตัวเองจากไป
‘ที่เหลือขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาย’ เสียงของคิโดทวนมาอีกครั้งในความคิดของผม เราต้องตัดสินจากความรู้สึกอย่างงั้นเหรอ? ผมก้มลงฟุบกับโต๊ะโดยใช้แขนทั้งสองข้างหนุนแทนหมอนแล้วนั่งทบทวนความรู้สึกของผมที่มีต่อคาเซมารุในตอนนี้เพื่อนำมาใช้อ้างอิงการตัดสินใจ ว่าจะตอบรับ....หรือปฏิเสธเขาไปดี
เมื่อก่อนผมอยากจะเป็นเพื่อกับเขา อยากจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน....
แล้วในตอนนี้ล่ะ?
ผมคิดยังไงกับเขากันแน่นะ?
ย่างเข้าวันที่สามแล้วที่คาเซมารุไม่มาโรงเรียน ผมจึงไม่มีโอกาจจะคุยกับเขาเลย จะไปหาก็คงไม่ได้เพราะแค่โทรไปหายังไม่กล้าเลยเนี้ยสิ!! ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ นี่ผมควรจะทำยังไงดีนะ รู้สึกในใจมมันว้าวุ่นไปหมด
“ไง วันนี้เป็นอะไรเนี้ยซึมเชียว?” คิโดเดินเข้ามาทัก เสียงของเขาดูใกล้มากแสดงว่าเขาคงมายืนอยู่ข้างลำตัวของผมสินะ
“หมอนั้นไม่มาโรงเรียนอีกแล้ว....” ผมตอบคำถามเขาไปด้วยเสียงอ่อยๆ “คาเซมารุนะเหรอ มีธุระอะไรกับหมอนั้นล่ะ” เขาถามย้อนผมกลับมาอีกครั้ง จะบอกได้ยังไงกันล่ะ มันน่าอายจะตาย
“ทำไมนายไม่ไปหาเองเลยล่ะ” คิโดเสนอความคิดเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากผม “ก็อยากอยู่หรอก....ถ้าทำได้ฉันทำไปนานแล้วน่าคิโด” ผมเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขา ซึ่งเขาก็ยักไหล่เป็นเชิงไม่ใส่ใจ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เมื่ออาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาในห้องในชั่วโมงโฮมรุม
“วันนี้คาเซมารุซังไม่มาโรงเรียนเนื่องจากเป็นหวัดนะ ครูจึงอยากให้นักเรียนเนี้ยเขียนให้กำลังใจไปเยี่ยมเขาแล้วส่งตัวแทนไปเยี่ยมเขาหน่อยนะจ๊ะ งานนี้มีใครจะเสนอบ้างไหม?” หล่อนพูดอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วสอดสายตาไปรอบๆห้อง
“ผมขอเสนอให้เอ็นโด มาโมรุครับ อาจารย์” คิโดยกมือลุกขึ้นเนอความคิดเห็น ซึ่งเจ้าตัวที่ถูกเสนอสะดุ้งเฮือก แต่ยังไม่ทันค้านอะไรครูประจำชั้นก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“จ้า ตกลงตามนั้นนะเอ็นโดซัง ครูขอฝากด้วยน้า” เธอทำท่ามือประสานกันแล้วยิ้มให้ผม ผมจึงพูดค้านอะไรไม่ได้อีก มองไปทางคิโดที่กลับมานั่งลงแล้วทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ หน็อย...ฝากไว้ก่อนเถอะคิโด
คาบพักเที่ยงผมจึงรีบตรงดี่ไปหาคิโดทันที “นาย....ทำแบบนี้ทำไมห๊ะ?!”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ นายสนิทกับเหมอนั้นที่สุดนี่นา น่าจะไปเยี่ยมหมอนั้นหน่อยนะ หรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับพวกนาย” คิโดเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงสงสัยในท่าทีของผม ตายล่ะหวาไอ้เราก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไปว่าผมไม่ควรกระโตกกระตากไปมาก
“กะก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนิ...” ผมก้มหลบสายตาเขา “ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้วล่ะ เอานี่กระดาษเขียนข้อความจากทุกคนถึงคาเซมารุ” ผมรับกระดาษที่รองด้วยแผ่นไม้นั้นมา
“ฝากด้วยนะตัวแทนห้อง” คิโดส่งยิ้มให้ผม ผมลอบถอนหายใจทิ้งท้ายไว้แค่นั้น
เย็นวันนี้ผมจึงต้องเดินไปเยี่ยมคาเซมารุที่บ้านเขาคนเดียวจนได้ ว่าแต่ผมจะสู้หน้าเขาได้ไหมล่ะเนี้ย เจอหน้ากันแล้วจะทักเขายังไงดี? ผมเดินคิดบทสนทนาไปเรื่อยๆตลอดทางเดินไปบ้านเขา จนในที่สุดก็มาถึงหน้าบ้านเขาแล้ว
ผมกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ลังเลอยู่นานก่อนจะกดกริ่งเรียกคนในบ้านให้มาเปิดประตู เสียงกริ่งดังอยู่ในบ้านสองสามครั้งสักพักหนึ่งเสียที่ลำโพงจึงดังขึ้น
“มาหาใครครับ....” แม้สียงพูดนั้นจะแหบ แต่ผมก็เดาได้ว่าเป็นเสียงของคาเซมารุแน่ๆ “เอ่อ...คาเซมารุ นี่ฉันเอ็นโดนะ”
เสียงพูดในลำโพงขาดหายไป ก่อนจะกลับมมาอีกครั้ง “นายมา....มีธุระอะไรงั้นเหรอ?”
“ฉะฉันมาเป็นตัวแทนห้องน่ะ ทุกคนเขียนข้อความฝากมาเยี่ยมนายน่ะ เอ่อ.....ออกมาเปิดประตูให้ฉันหน่อยได้ไหม?” เสียงลำโพงหายไปอีกครั้งสิ่งที่มาแทนคือร่างของคาเซมารุในชุดนอนที่เดินออกมาเปิดประตูให้ผมเข้าไปในบ้าน เขายกชาเข้ามาต้อนรับผมที่ห้องรับแขก ผมจึงเริ่มบทสนทนาจากข้อความที่คนทั้งห้องเขียนให้เขา
“ที่จริงไม่เห็นต้องลำบากขนาดนี้เลยน้า พรุ่งนี้ฉันก็ไปโรงเรียนได้แล้วล่ะ” คาเซมารุนั่งอ่านข้อความไปยิ้มไป ผมมองดูใบหน้านั้น....ถ้าเขายิ้มแบบนี้ก็ดูน่ารักดีนะ
เฮ้ย! คิดอะไรของนายเนี้ยเอ็นโด!? ผมรีบสะบัดความคิดออกจากหัว “นะนี่น่ะทุกคนเต็มใจเขียนให้นายเลยนะ” ผมพูดให้กำลังใจเขา
“รวมทั้งข้อความของนายนี่ด้วยเหรอ?” เขาก้มหน้าถาม ดูจากองศาของกระดาษในมือเขาแล้ว มันตรงกับข้อความที่ผมเขียนให้เขาว่าหายไวๆพอดี
“กะก็นะ...หายไวๆ......ละแล้วมาเล่นฟุตบอลด้วยกันอีกนะ” คำพูดของผมทำให้หางคิ้วของคาเซมารุตกลงเล็กน้อย อะไร? ผมพูดอะไรให้เขาเสียใจเหรอ? “อะ...เอ่อ....” ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อทำให้บรรยากาศเริ่มจะเงียบ เอายังไงดี....จะเริ่มคุยเรื่องวันนั้นเลยดีไหมนะ?
“นะนี่คาเซมารุ....” ผมเรียกชื่อเขาเพื่อให้เขาเงยหน้าขึ้นมาฟังผม “ระเรื่องที่นาย...จูบฉันในวันนั้นน่ะ....” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคคาเซมารุก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“โทษทีนะเอ็นโด เรื่องในวันนั้นน่ะฉันแค่แกล้งนายเล่นน่ะ” ผมนิ่งเงียบฟังเขา แกล้งเล่น? “ก็นายน่ะหาว่าคนเขามีแฟนไปเรื่อยนี่นา เห็นว่านายไม่ยอมฟังซักทีเลยแกล้งไปว่าแอบชอบนายเข้า ก็กับผู้ชายมันน่าขนลุกออกนี่ ส่วนเรื่องจูบนั้นอารมณ์มันพาไปน่ะขอโทษทีนะ” คาเซมารุเกาท้ายท้อยแล้วค่อมตัวลงเป็นเชิงขอโทษ
ผมยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไรไปทันที เพราะสมองของผมยังประมวลผลอยู่ เขาแค่แกล้งเราเล่น...แสดงว่าที่ผมคิดว่าหมอนี่ชอบผมมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดสินะ....
ดีแล้วนิ....เขาแค่แกล้งเรา....มันไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย
ความเป็นเพื่อนจะยังคงอยู่ต่อไป
แล้วนี่ผม...
กำลังผิดหวังกับอะไรอยู่นะ?
“ฮ่ะ..ฮ่ะ....งั้นเหรอ....แกล้งกันเล่นงั้นเหรอ ร้ายนะเนี้ยนายเล่นเอาฉันคิดมากไปเป็นวันเลย” ผมได้แต่พูดกลบเกลื่อนให้เหมือนปกติมากที่สุด...... “อ๊ะ! ป่านนี้แล้วเหรอเนี้ย ฉันกลับก่อนล่ะนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน” ผมแสร้งทำเป็นมองนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วหาเรื่องอ้างกลับ
คาเซมารุออกมาส่งผมที่หน้าบ้านหลังจากนั้นผมจึงวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่เราเป็นอะไร? ในอกของเรามันถึงได้เจ็บ.....และอึดอัดขนาดนี้กันนะ
วันรุ่งขึ้นคาเซมารุกลับมาเรียนได้แล้ว และมาซ้อมฟุตบอลได้ตามปกติแล้ว แต่ตอนนี้ผมเองก็ยังไม่กล้าไปคุยกับเขาเลยแหะ จนกระทั่งซ้อมเสร็จแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะได้คุยกับเขาเลย
“กับตันครับ มาดูอะไรนี่สิ!!” พวกคุริมัทสึกับคาเบยาม่าเรียกผมไปยังมุมตึก ดูเหมือนพวกเขาจะแอบดูอะไรกันสักอย่าง ภาพที่ผมเห็นหลังจากที่เดินเข้าไปสมทบกับพวกเขาคือ คาเซมารุที่ยังอยู่ในชุดกีฬาพร้อมผ้าเช็ดเหงื่อกับเด็กผู้หญิงผมสีเหลืองที่เห็นเดินด้วยกันเมื่อคราวก่อน
พวกเขาทำอะไรกันน่ะ?
เด็กผู้หญิงคนนั้นก้มตัวลงยื่นห่อบ้างอย่างให้คาเซมารุ เธอพูดประโยคหนึ่งออกมาซึ่งในระยะที่พวกเราอยู่นั้นได้ยินชัดเจนเลยทีเดียว
“ชะช่วยคบกับฉันด้วยเถอะนะคะ! คาเซมารุซัง” คาเซมารุมีท่าทีตกใจเล็กน้อย ผิดกับผมที่อึ้งสนิท เขาได้แต่ยืนมองเด็กผู้หญิงคนนั้นเงียบๆไปสักพักหนึ่ง เขาจึงยื่นมือไปรับห่อซ็อคโกแล็ตนั้นมา เขายิ้ม...แล้วตอบเธอไปว่า
“ได้สิ เราลองมาคบกันเถอะ.....”
ผมเดินขึ้นห้องไปด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ล้มตัวลงนอนบนเตียงทั้งอย่างนั้น
‘ได้สิ เราลองมาคบกันเถอะ.....’
เสียงของคาเซมารุที่พูดในประโยคที่ผมได้ยินก่อนจะออกมาจากที่นั้น ทำไมถึงได้ตอบรับไปล่ะ?......แล้วทำไมเราถึงไม่อยากให้เขาตอบรับไปล่ะ?
นี่เป็นการยืนยันงั้นเหรอว่าเขาแกล้งเราเล่นจริง?
ผมนึกย้อนภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เคยทำร่วมกันมากับคาเซมารุ ถาพนั้นผุดขึ้นมาเรื่อยๆเหมือนวิดิโอเรื่องสั้น จนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา
อา.......คาเซมารุ.....
ผมเกรงตัวอย่างแรงเมื่อผมรู้สึกว่าส่วนที่ไวต่อสัมผัสเบื่องล่างนั้นกำลังมีปฏิกิริยากับความคิดของผม การช่วยตัวเองจึงจำเป็นที่สุดในตอนนี้ “......คาเซมารุ.....คาเซมารุ....” ผมเรียกชื่อเขาออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดของเหลวสีขาวขุ่นก็ถูกปล่อยออกมา มันใช้เวลาไม่นานกับการช่วยตัวเองครั้งแรกของผม
อา.......เรานี่ลามกชะมัด.....
คนเขามีแฟนแล้วนะ......เลิกคิดถึงเขาในแง่นี้ได้แล้ว....
ความคิดก็พุ่งบอกตัวเองแบบนั้น แต่ใจจริงลึกๆแล้วผมรู้ตัวแล้วว่าในตอนนี้
ผมหลงรักคาเซมารุ......จนอดรนทนไม่ไหวแล้ว....
“พรุ่งนี้วันหยุดไปเที่ยวกันไหม?” ผมเอ่ยชวนคาเซมารุที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนอยู่
“พรุ่งนี้เหรอ....ขอโทษนะพอดีนัดกับมิยาซากะเอาไว้แล้วน่ะ” เขายิ้มให้เป็นเชิงขอโทษ “งะงั้นเหรอ.....งั้นก็ไม่เป็นไร โชคดีนะ”
ก็กะไว้อยู่แล้วล่ะ.....
คนมีแฟนแล้วเขาคงไม่มีเวลามาสนใจเราหรอก.....
วันนี้คาเซมารุกลับก่อนอีกแล้ว.....ผมมองดูเขาที่เดินควงอยู่กับเด็กผู้หญิงผมเหลืองคนนั้นค่อยๆไกลออกไปเรื่อยๆจนพ้นเขตโรงเรียนไป นี่ก็หลายอาทิตย์จนเข้าต้นเดือนมิถุนายนแล้วที่พวกเขาคบกัน...
ดูจะไปกันได้ดีนี่นา....
ไม่มีช่องว่างเหลือให้เราหรอก......
“เป็นอะไรไปเอ็นโด?” เสียงคิโดทักมาจากข้างผม ผมจึงหันไปตามเสียงเรียก “เปล่า....ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
“สีหน้านายมันบอกว่านายกำลังมีปัญหานะ” คิโดยังถามผมซ้ำเพื่อว่าจะเปลี่ยนใจเปิดอกคุยกับเขา แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้
“ไม่เป็นไร......” ผมยกกระเป๋าขึ้นสพายเพื่อเตรียมกลับบ้าน แล้วพูดทิ้งท้ายไว้ลอยๆด้วยหัวใจที่ปวดร้าว “อกหักแค่นี้นะ....ไม่ถึงตายหรอก....”
“เลิกกัน!?” ผมทวนคำอีกครั้งอย่างแทบไม่เชื่อหู คาเซมารุเลิกกับแฟนของเขาแล้ว? ทำไมล่ะ? เมื่อวันก่อนที่เป็นวันหยุดเห็นว่าจะไปเที่ยวกันอยู่เลยนี่นา......มันเกิดอะไรขึ้น?
คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว คิโดกับคนอื่นๆในทีมที่รู้ข่าวเองก็มีสีหน้ากรุ่นคิดไม่แพ้กัน จนเสียงเปิดประตูห้องเรียนดันขึ้นเรียกความสนใจของพวกเราให้หันไปมอง คาเซมารุนั้นเองเขาเดินเข้ามาที่โต๊ะของตัวเอง ผมจึงเรียบรุกเข้าไปถามเขาทันที
“เกิดอะไรขึ้น?! ทำไมนายถึงเลิกกับเด็กคนนั้นได้ล่ะ?!” คาเซมารุมีท่าทีตกใจเล็กน้อยกับท่าทีของผม เขาผงะไปด้านหลังเลยล่ะ “อ้าว? รู้แล้วเหรอเนี้ย...ข่าวไวจังเลยนะ...” เขายังยิ้มและหัวเราะแห้งๆเกาท้ายท้อยเป็นเชิงแก้ขัดเขิน
เรื่องข่าวไวไม่ไวใครจะสนกันเล่า ผมสังเกตเห็นที่แก้มซ้ายของเขาแปะปลาสเตอร์บรรเทาปวดไว้ด้วย “แล้วที่แก้มนั้นไปโดนอะไรมา?”
“อ้อ! นี่นะเหรอ” เขาใช้มือลูบมันเบาๆ “โดนตบมาน่ะ....” โดนตบ?! อย่างหมอนี่เนี้ยนะไปทำอะไรให้ใครเขาโมโหจนโดนตบมา “นึกว่าผมหน้าจะปิดมิดแล้วแท้ๆนะเนี้ย” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
“แล้วไปทำอะไรให้โดนตบมากันล่ะนั้น” คิโดเองก็เดินเข้ามาถามเหมือนกัน
“ก็แค่ใจร้อนกับผู้หญิงไปหน่อยเท่านั้นแหละ เขาไม่เล่นด้วยเลยโดนตบมา” ใจร้อนไปหน่อย.....ผู้หญิงไม่เล่นด้วย หมายความว่าไง? ผมไม่ค่อยเขาใจในความหมายที่เขาพูดเท่าไรเลยแหะ
“เฮ้ย เฮ้ย แบบนั้นออกจะเกินไปหน่อยนะ ไปเอาวิธีนี้มาจากไหนเนี้ย?” คิโดรีบสาวความอย่างร้อนใจ ท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่แหะ “ก็พวกรุ่นพี่ที่ชมรมเก่าบอกมานะ คบกันมาตั้งหลายอาทิตย์แล้วก็ไม่มีความคืบหน้าเลย แม้แต่จูบก็ยังไม่เคย พวกนั้นเลยแนะนำให้ใช้วิธีอย่างว่านั้นน่ะ”
มาถึงตรงนี้ผมก็ถึงบางอ้อเลย วิธีอย่างว่า.....เขามีอะไรกับเธองั้นเหรอ ความคิดของผมเล่นไปไกลรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของผมมันร้อนฉ่าขึ้นมา แต่เดี๋ยวสิๆเขาบอกว่าผู้หญิงไม่เล่นด้วยนี่นาอาจจะไม่สำเร็จก็ได้ อย่าพึ่งโวยวายจะดีกว่า
“แต่นายก็ทำไม่สำเร็จ?” คิโดเลิกคิ้วสูง “อื้ม....ก็เลยโดนตบ แล้วก็ถูกบอกเลิกมาอย่างที่เห็น ฉันผิดเองนั้นแหละที่ใจร้อนวู่วามไปหน่อย...”
“นายไม่ผิดสักหน่อยนะคาเซมารุ! เด็กคนนั้นต่างหากล่ะที่ผิด.....คนรักกันก็น่าจะยอมกันสิ นี่อะไรจูบก็ไม่ให้จูบแล้วจู่ๆก็มาบอกเลิกกันเฉยเลย แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน!!” ผมพูดออกไปด้วยความโมโห น่าโมโหที่สุด....ทั้งที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากเขาขนาดนั้นแท้ๆ กลับมาตอบแทนความรักกันแบบนี้....ทำให้เขาต้องเสียใจแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน.....น่าโมโหเกินไปแล้ว!!
“เฮ้ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะเอ็นโด เพราะคิดง่ายแบบนี้นะสิผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหายนะ คนรักกันนะมันก็ต้องมีความอดทนไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้วก็ไม่วู่วามทำอะไรพลีพลาม ถ้าอีกฝ่ายไม่พร้อมที่จะทำเราก็ไม่ควรจะไปบังคับเขานะ” คิโดพูดเตือนสติผม แล้วหันไปหาคาเซมารุในประโยคสุดท้ายทำให้เขาค่อมตัวลงอย่างสำนึกผิด
ความจริงที่คิโดพูดมันก็ถูก......
ผมก็แค่พูดไป เพราะอิจฉาเธอคนนั้นเท่านั้นเอง......
“แล้วไปขอโทษเธอหรือยัง?” คิโดเอ่ยถามคาเซมารุเมื่อเทศเสร็จแล้ว “อืม......ว่าเย็นนี้แหละจะไปขอโทษเธอที่ชมรมหน่อยน่ะ....”
“ดีแล้วล่ะ พยายามเข้านะ......นายด้วยนะเอ็นโด” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อคิโดหันมาพูดถึงเรื่องของผม “โอกาสมาแล้วนะ อย่าปล่อยให้หลุดมือล่ะ” คิโดยิ้มส่งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็เดินเข้าไปนั่งที่ของตัวเอง ผมกับคาเซมารุหันมามองหน้ากันแวบหนึ่ง เขารีบก้มหน้าหลบผมส่วนผมก็รีบแบนหน้าไปทางอื่นแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเองทันที
โอกาสงั้นเหรอ....
หัวใจของผมมันเต้นแรงจนคุมไม่อยู่รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของผมตอนนี้มันร้อนมากๆ ทะทำไมหมอนั้นถึงพูดเหมือนจะรู้ว่าเราคิดอะไรกับคาเซมารุอยู่กันนะ?
ผมยืนคิด เดินคิด นั่งคิดมาทั้งวัน โอกาสงั้นเหรอจะใช้มันยังไงดีนะ....เรื่องนี้จะปรึกษาใครดีล่ะ? ผมไล่รายชื่อคนที่ผมรู้จักที่น่าจะปรึกษาได้ สุดท้ายก็ต้องไปปรึกษาคิโดอยู่ดี หมอนี่แหละดีที่สุด
“เอ่อ.....คิโดขอปรึกษาเรื่องเดิมในวันนั้นหน่อยได้ไหม?” ผมค่อยๆถามเขาในตอนเย็นที่คาเซมารุแยกตัวไปขอโทษเด็กคนนั้นแล้ว พวกเรานั่งคุยกันที่จุดเดิมริมสนาม “เรื่องเดิม? อ้อ...เรื่องเพื่อนสนิทของนายที่มาบอกว่าแอบชอบนะเหรอ?”
“ชะใช่เรื่องนั้นแหละ....” ผมประสานมือกันอย่างตื่นเต้น หวังว่าเขาคงยังไม่รูหรอกนะว่าคนที่ผมพูดถึงอยู่นี้คือคาเซมารุน่ะ “มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
“คะคือ ฉันยังไม่ได้บอกนายเลยใช่ไหมว่าในวันนั้นเพื่อนฉันคนนั้น...จะจูบฉันด้วย” ผมลอบมองอาการของดิโดเขามีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยแล้วก็ลอบยิ้มออกมาที่มุมปาก “แล้วยังไงต่อล่ะ?”
“กะก็หลังจากนั้นผ่านมาเรื่อยๆฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะชอบเพื่อนคนนั้นขึ้นมาซะแล้ว ตะแต่ว่าพอไปคุยเรื่องนี้กับเพื่อนฉันคนนั้นกลับบอกว่าเรื่องนั้นแค่ล้อกันเล่น.....นะนายว่าเรื่องนี้ฉันควรจะทำยังไงต่อดีล่ะ?” คิโดยังไม่ตอบคำถามของผมในทันที
“ถามใจตัวเองดูสิ นายไม่ได้คิดกับหมอนั้นเล่นๆเหมือนที่หมอนั้นบอกนายใช่ไหมล่ะ?” คิโดหันมาย้อนถามผมบ้าง ใช่...เราไม่ได้คิดเล่นๆกับหมอนั้นนะ “อื้อ....ฉันจริงจังกับหมอนั้นมากเลยล่ะ.....”
เอ๊ะ!? เดี๋ยวก่อน.....เขาใช้คำว่าหมอนั้นงั้นเหรอ? “ฮะเฮ้คิโด! ทำไมนายถึงใช้คำว่าหมอนั้นล่ะ ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยเลยนะว่าเพื่อนของฉันคนนั้นเขาเป็นผู้ชายน่ะ นายรู้ได้ยังไงเนี้ย!!?” อุหวะ! คำว่ารู้ได้ยังไงนั้นมันเป็นหลุมขนาดใหญ่เลยนะเนี้ย ผมพลาดขุดหลุมฝังตัวเองซะแล้ว....
คิโดถึงกับหลุดหัวเราะออกมากับท่าทีของผม “ก็คำว่า เพื่อนคนนั้น ของนายน่ะมันยาวกว่าคำว่า หมอนั้น ตั้งคำหนึ่งแนะ ฉันเลยขี้เกียจพูดแค่หมอนั้นก็พอ...” ผมหันไปค้อนสายตาใส่เขา คำแก้ตัวแบบนั้นมันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด “คร้าบ คร้าบ บอกความจริงก็ได้ ฉันรู้มาตั้งนานแล้วก่อนที่นายจะมาปรึกษาฉันซะอีก เพราะคาเซมารุเองก็มาปรึกษาฉันเรื่องของนายเหมือนกัน แต่หมอนั้นก็ไม่ได้บอกหรอนะว่าเป็นนายฉันแค่เดาจากอาการที่เห็นน่ะ”
“อะ....คาเซมารุมาปรึกษานายงั้นเหรอ เอ๊ะ! งั้นหรือว่าเรื่องจูบนั้นนายก็บอกให้หมอนั้นทำงั้นเหรอ?!” ผมทำท่านึกขึ้นได้ โผลงถามออกไปอย่างรวดเร็ว “ปล่าวนะ ฉันแค่บอกหมอนั้นไปว่าเอาซ็อคโกแล็ตไปให้ แล้วก็บอกความในใจให้เขารู้ไปเลยก็แค่นั้น เรื่องจูบนั้นหมอนั้นคงตั้งใจทำด้วยตัวเองนั้นแหละ ฉันว่านายโดนหลอกเรื่องที่ว่าแกล้งเล่นนั้นแล้วล่ะ” คิโดเบ้ปากเล็กน้อย
“อยากจะทำอะไรก็รีบๆทำเข้าล่ะ เดี๋ยวก็ถูกแย่งไปอีกหรอก” คิโดว่าย้ำ
ตั้งใจทำด้วตัวเอง? แสดงว่าหมอนั้นชอบเราจริงๆนะสิ รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของผม มันเป็นความรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกเลยล่ะ ผมรีบลุกขึ้นทั้นที “ขอบใจมากเลยนะคิโด!!”
ผมโบกมือลาเขาแล้วรีบวิ่งไปตามหาคาเซมารุทันที แต่ตามหาทั่วโรเงรียนแล้วก็ไม่มีที่ชมรมกรีฑาก็ไม่มีด้วย...หรือจะกลับไปแล้วกันนะ? ผมรีบวิ่งตามไปเพราะทางกลับบ้านของเขากับขอผมนั้นไปทางเดียวกัน
ผมวิ่งมาเรื่อยๆจนมาถึงทางแยกที่ไปคนล่ะทางระหว่างบ้านผมกับบ้านเขาแล้ว นั้นไง! เขาอยู่ตรงนั้น!! “คาเซมารุ!!” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาให้เขาหันมา แล้วจึงวิ่งเข้าไปหา
“อะเอ็นโด? มีอะไรงั้นเหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพราะพอผมวิ่งเข้าถึงตัวเขาก็ค่อมตัวลงยึดสองมือไว้ที่เข่าหอบตัวโยน ผมรวบรวมลมหายใจแล้วใช้สองมือขึ้นมายึดไหล่ของคาเซมารุเอาไว้เพื่อให้เขาสนใจในสิ่งที่ผมพูดเท่านั้น
“เรื่องในวันนั้นที่นายบอกว่าล้อเล่นนั้นนะ นายโกหกฉันใช่ไหม? ที่จริงแล้วนายชอบฉันใช่ไหม? ตอบฉันทีสิคาเซมารุ!” หางคิ้วของคาเซมารุตกลงอย่างเห็นได้ชัด “นะนายพูเรื่องอะไรของนายน่ะเอ็นโด...ฉันจะไปชอบนายได้ยังไง....ในเมื่อเราสองคนก็เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ....”เขาพูดกลั่วเสียงหัวเราะกลบเกลื่อน ผมไม่ยอมแพ้หรอก
“ไม่! นายโกหก! จริงๆแล้วนะนายชอบฉันแต่นายน่ะโกหกว่าไม่ได้ชอบฉันใช่ไหม? ใช่ไหมคาเซมารุ!” เขาเบี่ยงหน้าหลบผมด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก ผมรอไม่ไหวหรอก...ผมอยากได้คำตอบจากเขา “อิจิโรตะ!?”
“ใช่! ใช่แล้วฉันชอบนายเอ็นโด! ชอบมานานมากแล้วตั้งแต่นายชวนฉันเข้ารวมชมรมฟุตบอล นายทั้งเก่งมีความเป็นผู้นำ ดูเท่ห์มากเวลาที่นายรับลูก หลายๆครั้งที่การกระทำของนายมันทำให้ฉันนึกว่านายเองก็ชอบฉัน.....แต่ว่า แต่ว่า...” ร่างของเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ผมได้แต่นิ่งเงียบฟังสิ่งที่เขาพูด “เราเป็นเพื่อนกัน.....แถมยังเป็นผู้ชายทั้งคู่ด้วย มันทำให้ฉันกลัว...กลัวว่านายจะเกลียดฉัน กลัวว่าเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีก...กลัว...”
เขากำลังร้องไห้......ผมอึ้งกับคำสารภาพของคาเซมารุกับสิ่งที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย... “ขอโทษนะเอ็นโด....ขอโทษ....คงจะรังเกียจฉันสินะ คงขยะแขยงมากสินะ.....ขอโทษนะ...ขอโทษ....”
“ไม่นะ! นายไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันจริงๆแล้วน่ะ ฉะฉันเองก็....!” เขาสะบัดตัวหลุดจากมือของผมแล้วก็วิ่งหนีผมไป ผมวิ่งตามแล้วแต่ไม่ทันจริงๆ
บ้าเอ๊ย! กะจะมาถามแล้วก็บอกความรู้สึกกับเขาไปว่าเราก็ชอบเขาแท้ๆ ไงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันนะ!?
“แล้วมันก็เลยกลายเป็นว่าทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่เสียอย่างงั้น?” คิโดเลิกคิ้วแล้วถามเสียงสูง ผมครางตอบเขาไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆ หลังจากวันนั้นคาเซมารุก็จงใจหลบหน้าผมมาตลอดเลย ไปหาที่บ้านก็ไม่มีใครตอบรับ
“แย่เลยนะเนี้ยแบบนี้” ตอนนี้ผมอยู่ในย่านการค้าขนาดใหญ่ ในวันหยุดที่คิโดนัดผมมาคุยพร้อมกับมาส่งฮารุนะซื้อของด้วย “แย่สุดๆเลยล่ะ ไม่รู้จะทำยังไงต่อดีแล้ว” ตอนนี้ฮารุนะเข้าไปซื้อของอยู่ในร้านผมกับคิโดจึงคุยกันได้สะดวกหน่อย
“เอางี้สิ พรุ่งนี้แล้วนะเป็นวันไวท์เดย์นายน่ะก็เอาของตอบแทนไปให้หมอนั้นซะ แล้วก็บอกความในใจให้หมอนั้นรู้เลยสิ” คิโดชี้นิ้วขึ้นเป็นเชิงแนะนำ “วันไวท์เดย์น่ะเป็นวันที่ผู้ชายนะจะตอบรับความรู้สึกของผู้หญิง หรือในกรณีของนายน่าจะเรียกว่าตอบรับความรู้สึกของคนที่ชอบมากกว่า หรือกรณีของฉันกับฮารุนะก็แบบพี่น้องก็ได้ไง”
“แล้วจะเอาอะไรไปให้ดีล่ะ” ผมนั่งเอียงคออย่างใช้ความคิด “ของที่นิยมมากแล้วก็หาซื้อได้ง่ายเห็นจะเป็นมาชเมลโล่ล่ะมั้ง” คิโดเสนอจากข้อมูลสถิติที่รู้มา
“ไอ้แบบนั้นมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่หากว่าหมอนั้นยังหลบหน้าฉันอยู่แบบนี้แล้วฉันจะบอกความในใจของฉันให้หมอนั้นรู้ได้ยังไงล่ะ?” เรื่องนี่แหละสำคัญถึงจะมีของให้แต่ถ้าคนที่จะรับดันไม่โผล่มาให้เจอหน้าแบบนี้ก็เท่ากับทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“อืม......เอางี้เดี๋ยวฉันมานะ นายรออยู่ตรงนี้ก่อนล่ะ” แล้วคิโดก็เข้าไปตามหาฮารุนะในร้าน ผมเห็นเขาพูดกันอยู่สองสามประโยค แล้วฮารุนะก็พยักหน้าเข้าใจ คิโดจึงเดินกลับออกมา
“เอาล่ะ...ไปกันเถอะ” เขาพูดชวนผมลุกขึ้นเดินตามเขาไป “ไปไหน?” ผมถามพร้อมลุกเดินตามหลังเขาไป “ไปหาซื้อมาชเมลโล่กัน”
ผมเดินตามเขาไปติดๆ และในที่สุดเราก็เดินมาถึงร้านขายมาชเมลโล่จนได้ เราสองคนเดินเข้าไปสำรวจในร้าน ร้านนี่เองก็บริการดีใช่น้อยมีให้ชิมก่อนซื้อด้วย ผมจึงเลือกชิมไปเรื่อยๆแล้วก็ตัดสินใจซื้อมาชเมลล์โล่กลิ่นส้มมาห่อหนึ่ง ส่วนคิโดก็เลือกซื้อกลิ่นสตอบอรี่ให้ฮารุนะ พวกเราคิดเงินแล้วก็เดินมาคุยกันต่อที่นอกร้าน
“นี่...แล้วถ้าเกิดหมอนั้นไม่ยอมเจอหน้าฉันเลยล่ะ จะทำยังไงนายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ” ผมถามเขาซ้ำ “เอาแบบแมนๆเลยนะ กับผู้หญิงน่ะ วิธีที่หนึ่งคือกอด วิธีที่สองคือจูบ อย่างมากก็แค่โดนตบนั้นแหละนะ” ผมชะงักกับคำแนะนำของเขา
“กับคาเซมารุไม่น่าจะตบนะ อย่างหมอนั้นน่าจะต่อยเลยมากกว่า” ผมเดินคอตก คิโดหัวเราะขำๆกับท่าทีของผม “ฮ่ะ ฮ่ะ ถึงคราวนั้นก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วล่ะว่าจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง”
ผมทำหน้าบู้ แต่ถ้ามันทำให้คาเซมารุหยุดฟังผมแล้วล่ะก็จะเตะหรือต่อยก็ยอมทั้งนั้นแหละ “ไม่เป็นไรนะเอ็นโด ฉันจะช่วยนายอีกแรงเอง” คิโดวางมือบนไหล่ผมแล้วยิ้มให้กำลังใจ ผมได้แต่ยิ้มตอบเขา เราเดินไปรับฮารุนะด้วยกันแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่า
อา.....พรุ่งนี้แล้วสินะ
วันไวท์เดย์
ผมกับคิโดวางแผนกันไว้ว่าจะนัดให้คาเซมารุขึ้นมาที่ห้องแล้วผมก็จะตามขึ้นไปทีหลัง แน่นอนว่าจะต้องเป็นเวลาหลังเลิกเรียนที่ทุกคนกลับหมดแล้ว คิโดเองก็กลับโดยให้ผมจัดการเรื่องนี้เองตามลำพัง
คาเซมารุเดินขึ้นไปแล้ว ผมเองก็เดินตามเขาเข้าไปในห้องเหมือนกัน “อะเอ็นโด?!” ทันทีที่เขาเห็นผมเขาก็ออกวิ่งทันที เขาคิดจะหลบหน้าผม แต่ผมไม่ยอมง่ายๆเหมือนคราวก่อนแน่!!
“หยุดก่อนคาเซมารุ ฉันมีเรื่องที่จะต้องคุยกับนายให้รู้เรื่องนะ” ผมตะโกนไล่หลังตามเขาไป “นายกำลังเข้าใจฉันผิดนะ ความรู้สึกของฉันนะ ที่จริงแล้วนะ...” เสียงของผมไม่มีอิธิพลพอที่จะหยุดเขาได้ ผมจึงวิ่งเท่ากำลังที่มีไปดักข้างหน้าเขาไว้ และเขาเองก็พุ่งตัวเข้ามาเร็วมาจนหยุดไม่ทัน แต่ผมก็กางแขนรับเขาได้(แน่นอนความเร็วของเขาไม่เท่ากับลูกฟุตบอลที่ผมรับอยู่ทุกวันนี้หรอก)
“ปล่อยฉันเอ็นโด...” เขาพยายามที่จะแกะวงแขนของผมออก “นายก็ดีแต่พูดว่าคนอื่นเขาไม่หยุดฟังนายแล้วนายล่ะเคยหยุดฟังคนอื่นเขาบ้างไหมเนี้ย?!” ผมพูดเรียกสติเขา หวังว่าเขาจะนิ่งฟังผมบ้าง
“ขอร้องล่ะ.......นายไม่ต้องคิดมากก็ได้ ขอแค่ให้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเท่านั้น.....ขอแค่นี้เท่านั้น....แค่นี้จริงๆ” ตัวเขาในอ้อมแขนผมนั้นกำลังสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“คาเซมารุ....” ผมใช้มือหนึ่งลูบหัวเขาเป็นการปลอบ “ฉันขอโทษ....ขอโทษที่ทำให้นายเจ็บปวด ฉันเองก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่านายหรอกน่ะ...” คาเซมารุไม่พูดอะไรตัวเขาหยุดสั่นแล้วใจตอนนี้
“วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ...” เขาพยักหน้าตอบตกลงผมจึงจูงมือเขาพาไปเอากระเป๋าแล้วก็เดินออกจากโรงเรียน ตลอดทางเราจับมือกันไว้เสมอ
“เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม?” เราสองคนเดินมาเรื่อยๆจนถึงทางผ่านที่เป็นสะพานผมจึงหยุดปล่อยมือและหันมาเผชิญหน้ากับเขา “เรากลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ....”
คาเซมารุหน้าถอดสีเขาคงเสียใจมากกับคำพูดของผม ใช่.....ต่อจากนี้ไปเราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้อีก “วันนี้เป็นวันไวท์เดย์......วันที่จะเป็นโอกาสได้ตอบแทนความรู้สึกขออีกฝ่ายในวันวาแลนไทน์.....นี่ฉันให้นาย....” ผมยื่นห่อมาชเมลโล่ที่ซื้อมาให้ตรงหน้าเขา แล้วเบนหน้าไปทางอื่นอย่างเขินๆ
คาเซมารุมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยกับท่าทีของผม “นายเคยถามฉันใช่ไหมตอนนั้นว่า จะตอบรับความรู้สึกของนายหรือปล่าว” ใบหน้าของผมมันร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉะฉันก็ตอบรับ....ความรู้สึกของนายแล้วไงล่ะ” ผมเหลือบสายตาขึ้นไปมองหน้าเขา
“นาย.....หมายความว่า...” ใบหน้าของคาเซมารุเองก็เริ่มขึ้นสีแล้วเหมือนกัน น่ารักชะมัด “ใช่....ฉันก็ชอบนายเหมือนกัน”
เขายิ้มแล้ว.....หยาดน้ำสีใสไหลลงมาจากขอบตาของคาเซมารุ ปฏิกิริยาของเขาทำเอาผมตกใจจนหน้าเหวอไปเลย “นะนายร้องไห้ทำไมน่ะ ฉะฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ?” ผมรีบเข้าไปถามเขาทันที
“ฮะ? นี่ฉันร้องไห้งั้นเหรอ.....ฉะฉันแค่รู้สึกดีใจน่ะ ดีใจที่นายไม่เกลียดฉัน ดีใจที่นายเองก็ชอบฉัน” เขาเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วส่งยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่สดใสและจริงใจเท่าที่ผมเคยเห็น ผมเองก็ยิ้มตอบเขานานแล้วที่ผมไม่ได้ยิ้มด้วยความรู้สึกที่อยากจะยิ้มแบบนี้
“ขอบคุณนะเอ็นโด” เขารับมาชเมลโล่จากมือผม เวลาใบหน้าเขาขึ้นสีแดงแบบนี้ก็น่ารักดีนะเนี้ย เห็นแล้วอยากจะแกล้งชะมัด ผมโน้มตัวเข้าไปจูบเขาเบาๆ “รู้ไหมว่าฉันเคยช่วยตัวเองเมื่อคิดถึงนายด้วยนะ”
ประโยคแหย่ของผมทำคาเซมารุสะดุ้งสุดตัว “ชะช่วยตัวเอง...นะนายหมายถึงเรื่องอย่างว่านั้นนะเหรอ?!” เขาพูดตะกุกตะกัก “ทำไมล่ะ ทีนายยังคิดจะมีอะไรกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเลยนิ คราวหน้าต้องเป็นทีของฉันบ้างล่ะ แต่ฉันไม่ยอมเป็นฝ่ายอุเคะหรอกนะ อย่างนายนะต้องเป็นอุเคะเท่านั้นคาเซมารุ!!” ผมป่าวประกาศต่อหน้าเขา ใบหน้าขาวๆนั้นขึ้นสีแดงจัดจนถึงหูและทำท่าเหมือนจะเป็นลมยังไงอย่างนั้น แกล้งแรงไปหรือปล่าวนะเรา?
“บะบ้า พูดเรื่องอะไรเนี้ย.....พอแล้วไม่คุยกับนายแล้ว!” คาเซมารุสะบัดหน้าทำทีเป็นเดินหนี เพราะความเร็วแค่นั้นผมเดินตามก็ยังทันเลย ผมจึงเดินเข้าไปแนบข้างซ้ายของเขาแล้วประสานมือกับเขาเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ฉันรักนายนะ คาเซมารุ” ผมพูดให้เขาได้ยินโดยไม่มองหน้าเขา
คาเซมารุเอาห่อมาชเมลโล่ปิดปากตัวเองกันไว้แก้เขิน “ฉันเองก็รักนายเหมือนกัน เอ็นโด”
จบ
............................................................................................................
ฟู่--! จบจนได้คะ - w -''
ขอโทษที่ลงช้าไปเป็นเดือนนะคะ อันที่จริงเรื่องนี้เขียนเกือบเสร็จตั้งแต่เดือนมีคาคมแล้วล่ะคะ แต่ว่าจู่ๆจะมาเขียนตอนจบต้นฉบับก็หายซะได้ หายังไงก็หาไม่เจอ แถมไม่ได้เซ็ฟสำรองไว้ด้วย เลยต้องเขียนใหม่ทั้งเรื่อง กินเวลามากๆเลยคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ
แถมเพื่อนก็ยังดันมาให้เขียนฟิคให้มันอีก เป็นฟิคข้ามเรื่องเลยล่ะคะ เป็นคู่ของ ชาช่า(อาเธน่า)จากเรื่องเซ็นต์เซย่า กับฮิบาริ เคียวยะจากเรื่องรีบอร์น(บอกตามตรงว่าสองเรื่องนี้คารแร็กเตอร์ไม่แม่นเลยสักเรื่อง แต่เพื่อนมันก็ยังดันให้เขียน แล้วฉันก็ดันตกหลุมพรางไปรับปากมันแล้วด้วย เลยจำเป็นต้องเขียนให้เสร็จคะ) ยังไงจะรีบเขียนของมันให้จบก่อนแล้วจะมาต่อฟิคInazumaให้นะคะ ^^
** ตั้งเป้าไว้ว่าไม่เกินเดือน พ.ค. นี้ได้อ่านเรื่องของ โกเอ็นจิxฟุบุคิ ต่อแน่นอนคะ ให้สัญญาเลย *^*//
แล้วก็ว่าต่อไปจะมีโปรแกรมเขียนเรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร(มิโดxฮิโร) กับคู่ของ ฮิโรxคาเซ อยู่นะคะ
ยังไงก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้า ^w^
ผลงานอื่นๆ ของ torus ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ torus
ความคิดเห็น